เมื่อนับย้อนหลังไปประมาณ 170 ปี พ.ศ. 2371 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรีเจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ ได้ประกาศเป็นกบฏต่อราชอาณาจักรไทย กองทัพไทยได้ยกกองทัพไปราบน่วม 10 ปี จึงสงบ ครั้นกบฏเจ้าอนุวงศ์สงบลงแล้ว
กองทัพญวน(เวียดนาม)
ยกกำลังเข้ามารุกรานอยู่เสมอ
ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ให้พระยาบดินทร์เดชายกกองทัพไปจากกรุงเทพฯ ไปสมทบกับหัวเมืองฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าตีเมืองชายแดนเวียดนาม เมื่อพ.ศ. 2383 ได้แก่เมืองวัง
เมืองตะโปน เมืองผาบัง เมืองเชียงฮม เมืองคำเกิด เมืองคำม้วน เมืองพิณ และเมืองพลาน
เพื่อกวาดต้อนเอาพลเมืองข้ามมาอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2387 ชาวเมืองวังที่อพยพมาได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 พวก
แต่ละพวกอพยพแยกย้ายไปหาที่ตั้งเมืองตามสถานที่ความเหมาะสม กล่าวคือ กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 1.
มาตั้งเมืองอยู่ที่เมืองหนองสูง มีพระไกรสรราช เป็นผู้ปกครองเมือง
ปัจจุบันเป็นอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร
กลุ่มที่ 2.
ตั้งอยู่ที่เมืองกุฉินารายณ์ มีพระวิเศษวงศ์ษาปกครอง
ปัจจุบันเป็นอำเภอกุฉินารายณ์
จังหวัดกาฬสินธุ์
กลุ่มที่ 3. ตั้งอยู่ที่เมืองเรณูนคร มีพระแก้วโกศล เป็นเจ้าเมืองปกครองผู้คน ปัจจุบันเป็นอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม
กลุ่มที่ 4.
ตั้งอยู่ที่เมืองพรรณรานิคม มีพระเสนาณรงค์ เป็นเจ้าเมืองปกครองผู้คน
ปัจจุบันเป็นอำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร
คนทั้ง 4
กลุ่มนี้เรียกชื่อเผ่าของตนเองว่า “เผ่าภูไท” โดยทั่วไปเขาชอบเรียกกันว่า
ชนกลุ่มน้อย กลุ่มที่มาตั้งเมืองที่หนองสูง
ได้แยกย้ายกันออกหาสถานที่เพื่อประกอบอาชีพเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มขึ้นสังกัดกับเมืองหนองสูง
กลุ่มบ้านเหล่าป่าเป้ด มีราษฎรจำนวนหนึ่งประมาณ 160 คน
ได้แยกตัวออกมาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหนองสูงที่บ้านโพนทอง ปัจจุบันนี้อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านเหล่าป่าเป้ด
แต่ตั้งอยู่ได้ไม่นานเพราะมีป่าชุกชุม
จึงได้พากันอพยพขนย้ายราษฎรไปหาที่ตั้งใหม่ทางทิศเหนือ
โดยมาตั้งที่บ้านนาหนองแคน
ซึ่งปัจจุบันนี้ยังมีต้นโพธิ์เป็นหลักฐานที่ปรากฏว่าให้เราเห็นอยู่ที่นาบ้านฮ้าง
แต่มาตั้งบ้านอยู่ได้ไม่นาน
เห็นว่าทำเลการเลี้ยงสัตว์ไม่สะดวกสบายเพราะเป็นป่าทึบไข้ป่าชุกชุมผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก
จึงได้อพยพขนย้ายราษฎรมาตั้งบ้านใหม่ที่หุบเขาภูนกยูง ภูหินสิ่ว ภูถ้ำพระ
และภูพรหมราช ตั้งชื่อบ้านใหม่ว่า “บ้านกับแก้” (บ้านตุ๊กแก)แต่อยู่มาเมื่อปี พ.ศ.
2407
หมู่บ้านแห่งนี้ได้เกิดโรคไข้ทรพิษ
หรือโรคฝีดาษ ระบาด ชาวบ้านไม่อยู่เย็นเป็นสุขทำให้ได้รับความลำบาก
ก็พากันอพยพเคลื่อนย้ายขึ้นมาอยู่ทางทิศเหนือห่างจากบ้านเดิมประมาณ 1,000 เมตร
พื้นที่แห่งนี้ คือ ที่ตั้งหมู่บ้านเหล่าป่าเป้ดในปัจจุบัน ทางทิศเหนือเป็นป่าโกงกาง
เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์
ทางทิศใต้เป็นป่าเถาวัลย์ชนิดหนึ่งขึ้นหนาทึบติดกับอนุสรณ์สมโภชอุโบสถวัดศรีสวาสดิ์
ถ้ำพระ เถาวัลย์ชนิดนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า “เครือเป้ด”
สมัยก่อนชาวบ้านนิยมนำมาเหลาใช้เป็นปอในการทอผ้ามัดหมี่จึงขนานนามหมู่บ้านตามเถาวัลย์ชนิดนี้ว่า
“บ้านเหล่าป่าเป้ด” มาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อก่อนบ้านเหล่าป่าเป้ดเป็นหมู่ ที่ 4
ของตำบลนาโสก แต่ในปัจจุบันได้แบ่งการปกครองออกเป็น 2 หมู่บ้าน คือหมู่ที่ 4
และหมู่ที่ 11 มีผู้นำในการปกครองสืบต่อกันมาดังนี้
1. เจ้าพรหมราช เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2408 - 2420 เป็นเวลา 12 ปี
2. เจ้าพรหมบุตร(กิ่ง) เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2420 - 2428 เป็นเวลา 8 ปี
3. เจ้าลือทองยศ(มุ้ย) เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2428 - 24-38 เป็นเวลา 10 ปี
4. เจ้าวงศ์คำฮัก(ไหล่) เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2438 - 2445 เป็นเวลา 7 ปี
5. เจ้าชาปากดี
สุวรรณพันธ์(กระปุป)
เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2445 - 2458 เป็นเวลา 13 ปี
6. นายบุตรศรี นาโสก(ตู้) เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2458 - 2468 เป็นเวลา 10 ปี
7. นายพรหมมา นาโสก เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2468 - 2472 เป็นเวลา 4 ปี
8. นายพรหมมี พลชนะ(มั่ง) เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2472 - 2482 เป็นเวลา 10 ปี
9. นายจอม นาโสก(จันลี) เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2482 - 2493 เป็นเวลา 11 ปี
10. เกียรติ์ พลชนะ เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2493 - 2508 เป็นเวลา 15 ปี
11.นายกาสินธ์ สุวรรณพันธ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2508 - 2525 เป็นเวลา 17 ปี
12. นายพิทักษ์ สุวรรณพันธ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2525 - 2531 เป็นเวลา 6 ปี
13. นายสัมฤทธิ์ สุวรรณพันธ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2531 - 2535 เป็นเวลา 4 ปี
14. นายกุหลาบ นาโสก เป็นผู้ใหญ่บ้านเมื่อ พ.ศ. 2535 - ปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2527
บ้านเหล่าป่าเป้ดได้แบ่งแยกการปกครองออกเป็น
2 หมู่บ้าน คือหมู่ที่ 11
ทางราชการได้จัดตั้งให้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 11 ขึ้น ผลปรากฏว่า นายคำพอง
นาโสก ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น